บริษัทฯ ได้วางแผนและกำหนดกลยุทธ์การลงทุนและดำเนินธุรกิจให้มีความหลากหลาย การลงทุนมีความรัดกุม รอบคอบและระมัดระวัง และมีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้บริษัทฯ เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว อีกทั้งยังให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทฯ ประกอบธุรกิจถ่านหินเป็นธุรกิจหลัก โดยมีแหล่งสัมปทานเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียอยู่แล้ว 2 แห่งและได้เข้าไปลงทุนในแหล่งสัมปทานเหมืองถ่านหินแหล่งที่ 3 ในปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งแหล่งถ่านหินดังกล่าวทั้ง 3 แห่งมีอายุสัมปทานคงเหลืออยู่อีกมากกว่า 10 ปี และมีปริมาณสำรองถ่านหินที่มีคุณภาพและมากเพียงพอที่จะสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องในระยะยาว แต่กระแสที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมองว่าพลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกและนำไปสู่ภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหารุนแรงและส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ มีความพยายามที่จะนำไปซึ่งการเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น อย่างไรก็ตามพลังงานฟอสซิลยังคงเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในปัจจุบันและการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทางเลือกเพื่อทดแทนพลังงานฟอสซิลยังมีข้อจำกัดหลายประการ จึงทำให้การใช้พลังงานฟอสซิลยังมีความจำเป็นอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ รวมถึงเชื้อเพลิงถ่านหินก็ยังมีความต้องการและมีการใช้ถ่านหินในการผลิตกระแสไฟฟ้าและขบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเซีย แม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลงในอนาคต ซึ่งบริษัทฯ มีประสบการณ์ ความรู้และความชำนาญในการประกอบธุรกิจถ่านหินมาเป็นระยะเวลายาวนาน จึงยังคงมองหาช่องทางและโอกาสในการเข้าไปลงทุนในแหล่งสัมปทานเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อชดเชยปริมาณสำรองถ่านหินที่ลดลงในแต่ละปีอันเกิดจากการผลิตอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ ตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและพยายามพัฒนาเพื่อให้บริษัทฯ ก้าวไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในอนาคต บริษัทฯ วางแผนที่จะสร้างความสมดุลในการลงทุนโดยมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำและพลังงานชีวมวล เป็นต้น โดยเฉพาะปัจจุบันภาครัฐได้ให้การสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทฯ พยายามมองหาโอกาสหรือช่องทางในการลงทุนเพื่อทำให้เกิดการเติบโตรอบใหม่ หรือ New S-Curve โดยคิดนอกกรอบพลังงานในรูปแบบเดิมหรือคิดริเริ่มที่สร้างสรรค์เพื่อพัฒนาธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่ธุรกิจถ่านหิน (Non-Coal Business) ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทฯ อาจจะไม่มีความชำนาญหรือคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปซื้อหรือควบรวมกับกิจการอื่นหรือการเข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรก็ตาม โดยมีเป้าหมายเพื่อหาช่องทางในการลงทุนในธุรกิจอื่นที่จะมาช่วยเสริมรายได้และกำไรจากธุรกิจถ่านหินและธุรกิจเอทานอลที่บริษัทฯ ทำอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีรวมทั้งสร้างรายได้และกำไรในอนาคตให้เพิ่มมากขึ้นอันจะนำไปซึ่งการเติบโตของบริษัทฯ อย่างมั่นคง มีคุณภาพและยั่งยืนในระยะยาวตามแนวทางและเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้
ลักษณะการประกอบธุรกิจพลังงานทดแทน
บริษัท ลานนาพาวเวอร์เจ็นเนอร์เรชั่น จำกัด (“LPG”) เป็นบริษัทย่อยที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในประเทศไทยในปี 2559 โดยบริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นทางตรงร้อยละ 99.99985 ของทุนที่ชำระแล้ว ซึ่งมีเป้าหมายที่จะศึกษาหาลู่ทางและเตรียมการลงทุนในโครงการด้านพลังงานทดแทนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น ธุรกิจพลังงานชีวมวล ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลชีวภาพ เป็นต้น รวมถึงการลงทุนและพัฒนาธุรกิจพลังงานด้านอื่น เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ (SOLAR ENERGY) พลังงานลม (WIND-ENERGY) โครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV CHARGING) หรือโครงการที่เกี่ยวข้องต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะสร้างรายได้และกำไรให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นได้ในอนาคต
บริษัท เอสอาร์ที เพาเวอร์ เพลเลท จำกัด (“SRT”) เป็นบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยบริษัท ลานนาพาวเวอร์เจ็นเนอร์เรชั่น จำกัด (“LPG”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เข้าลงทุนซื้อสามัญและหุ้นบุริมสิทธิบริษัท SRT โดยถือหุ้นร้อยละ 99.9998 ของทุนที่ชำระแล้ว ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (Wood Pellet) ในเชิงพาณิชย์ โดย SRT มีโรงงานตั้งอยู่ที่อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขนาดกำลังการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง 60,000 เมตริกตันต่อปี โดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบหลัก เช่น เศษไม้ ปีกไม้ที่ได้จากอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และรากไม้ยางพารา นำมาผ่านกระบวนการผลิตและอัดเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งที่เหมาะกับการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องกำเนิดไอน้ำ (Boiler) หรือใช้ในเตาเผา (Furnace) สำหรับใช้ในการผลิตไฟฟ้าและความร้อนและอุตสาหกรรมต่างๆ โดยในช่วงปี 2563-2564 SRT ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ทำให้การส่งออกเฟอร์นิเจอร์ที่ลดลงทำให้วัตถุดิบไม้ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งขาดแคลนและปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก ส่งผลกระทบต่อการดําเนินงานของ SRT ทำให้มีผลขาดทุน บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการลงทุน โดยให้ SRT โอนกิจการให้แก่ LPG และให้ SRT จดทะเบียนเลิกบริษัทและชำระบัญชี หลังจาก SRT โอนกิจการให้แก่ LPG เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดย LPG จะศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลจากวัตถุดิบอื่นๆ เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าต่อไป ซึ่งเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ SRT มีมติอนุมัติให้มีการเลิกบริษัท ในวันเดียวกันได้จดทะเบียนเลิกกิจการแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการชำระบัญชี